เจาะลึกทุกรายละเอียด WWDC 2025: มีอะไรใหม่บ้าง? Apple กำลังจะพาเราไปทางไหน?

Last Updated: มิถุนายน 10th, 2025By

งาน Worldwide Developers Conference หรือ WWDC ของ Apple ในปี 2025 ได้ปิดฉากลงแล้ว ทิ้งไว้ซึ่งความตื่นเต้นและคำถามมากมายเกี่ยวกับทิศทางใหม่ของยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี ปีนี้ Apple ไม่ได้มาพร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ใหม่ที่หวือหวา แต่เน้นไปที่การยกเครื่องซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ทั่วทั้งระบบนิเวศ พร้อมกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างต่อเนื่อง และการปรับโฉมดีไซน์ครั้งสำคัญที่หลายคนรอคอย แม้ภาพรวมอาจดูเหมือนเป็นการ “ปรับเทียบอย่างระมัดระวัง” มากกว่าการ “ปฏิวัติ” 1 แต่ก็มีรายละเอียดที่น่าสนใจซ่อนอยู่มากมาย ซึ่งบ่งบอกถึงกลยุทธ์ระยะยาวของ Apple ได้เป็นอย่างดี

หลายฝ่ายมองว่า WWDC 2025 มีความหมายและน่าจับตามองมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าการประกาศต่างๆ จะค่อนข้างหลากหลายและอาจต้องรอให้ได้ใช้งานจริงจึงจะตัดสินได้เต็มปาก 2 Apple ดูเหมือนจะเลือกใช้แนวทางที่สุขุมและระมัดระวังมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงรูปลักษณ์ของซอฟต์แวร์ให้สวยงามทันสมัย และเสริมสร้างความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ให้ราบรื่นยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นการเปิดตัวเทคโนโลยีที่พลิกโฉมวงการแบบฉับพลัน 1

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่: OS เวอร์ชัน 26 และดีไซน์ “Liquid Glass”

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดใน WWDC 2025 คือการที่ Apple ตัดสินใจยกเครื่องระบบปฏิบัติการทั้งหมด และนำเสนอภาษาการออกแบบใหม่ที่เรียกว่า “Liquid Glass”

ก้าวสู่ยุคใหม่: OS ทุกแพลตฟอร์มพร้อมใจกันใช้เลข ’26’

Apple ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการเปลี่ยนระบบการตั้งชื่อเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการทั้งหมด จากเดิมที่ใช้ตัวเลขต่อเนื่อง (เช่น iOS 18, macOS 15) มาเป็นการใช้ตัวเลข ’26’ ต่อท้ายชื่อ OS ซึ่งคาดว่าจะอ้างอิงถึงปีที่ซอฟต์แวร์เหล่านี้จะเปิดให้อัปเดตอย่างเป็นทางการในปี 2025 (แต่จะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2025 สำหรับรุ่นปี 2026) คล้ายคลึงกับแนวทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มักจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นปีถัดไปล่วงหน้า 1 การเปลี่ยนแปลงนี้ครอบคลุมระบบปฏิบัติการหลักทั้งหมด ได้แก่ iOS 26, macOS Tahoe 26, iPadOS 26, watchOS 26, tvOS 26 และ visionOS 26 3

การปรับเปลี่ยนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความพยายามของ Apple ในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้นในประสบการณ์ผู้ใช้ทั่วทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ การใช้ชื่อเวอร์ชันเดียวกันสำหรับทุก OS ช่วยลดความสับสนและทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าซอฟต์แวร์ในแต่ละอุปกรณ์นั้นอยู่ในเจเนอเรชันเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ในการผสานระบบนิเวศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

เปิดตัว “Liquid Glass”: ดีไซน์ใหม่ สวยใส สไตล์ Apple

ไฮไลท์สำคัญอีกอย่างคือ “Liquid Glass” ภาษาการออกแบบใหม่ล่าสุดที่ Apple ภูมิใจนำเสนอ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากความโปร่งแสงและความลื่นไหลของ visionOS ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ 3 Apple ถึงกับกล่าวว่านี่คือการอัปเกรดดีไซน์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ iOS 7 ในปี 2013 3

ลักษณะเด่นของ Liquid Glass คือการทำให้องค์ประกอบต่างๆ ใน Interface เช่น แอปพลิเคชันและเมนู ดูโปร่งแสงมากขึ้น สามารถขยายและหดตัวได้อย่างลื่นไหลตามการเลื่อนหรือการเรียกดูของผู้ใช้ 3 ไอคอนต่างๆ ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้สามารถแสดงผลได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบสว่าง (light), มืด (dark), ย้อมสี (tinted) หรือแม้กระทั่งแบบใส (clear) 7 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งประสบการณ์ให้เข้ากับตนเองได้มากขึ้น

เบื้องหลังความสวยงามนี้ Liquid Glass ใช้เทคนิคการเรนเดอร์แบบเรียลไทม์ ทำให้องค์ประกอบต่างๆ ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวได้อย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม, สวิตช์, สไลเดอร์ หรือส่วนควบคุม UI อื่นๆ 6 การออกแบบนี้จะถูกนำไปปรับใช้ทั่วทั้งระบบ ตั้งแต่ iOS 26, macOS Tahoe 26, iPadOS 26, watchOS 26, tvOS 26 ไปจนถึง CarPlay 5 สร้างประสบการณ์ที่สวยงามและสอดคล้องกันในทุกอุปกรณ์

อย่างไรก็ตาม มีนักวิจารณ์บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าดีไซน์ใหม่นี้มีความคล้ายคลึงกับ Windows Aero หรือ Vista ในอดีต 11 ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของวงการออกแบบที่เทรนด์มักจะหมุนเวียนกลับมา ความสำเร็จของ Liquid Glass จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงประสิทธิภาพในการใช้งานจริง ความลื่นไหล และการไม่สร้างภาระให้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ยังรองรับ ที่สำคัญคือต้องไม่กระทบต่อความสามารถในการเข้าถึง (Accessibility) ของผู้ใช้บางกลุ่มที่อาจพบว่าความโปร่งแสงนั้นรบกวนการใช้งาน 10 การที่ Apple กล่าวอ้างถึง “ความลื่นไหลที่ Apple เท่านั้นที่ทำได้” 11 จะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญ

การตัดสินใจปรับโฉมดีไซน์พร้อมกันทั้งหมดและการใช้ชื่อเวอร์ชัน “26” เหมือนกัน สะท้อนถึงความตั้งใจของ Apple ในการสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์และประสบการณ์ผู้ใช้ที่เป็นหนึ่งเดียวทั่วทั้ง Ecosystem ซึ่งอาจช่วยให้การใช้งานข้ามอุปกรณ์เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของ Apple ในฐานะผู้สร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์

Apple Intelligence: พัฒนาการที่ไม่หยุดยั้ง (แต่ Siri ยังต้องรอ)

Apple ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนา Apple Intelligence อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เน้นไปที่ฟีเจอร์ที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน และให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก 12

ภาพรวม Apple Intelligence ในปีนี้

หนึ่งในการอัปเดตที่สำคัญคือการขยายการรองรับภาษาสำหรับฟีเจอร์ Apple Intelligence เพิ่มเติมอีก 8 ภาษาภายในสิ้นปีนี้ ได้แก่ เดนมาร์ก, ดัตช์, นอร์เวย์, โปรตุเกส (โปรตุเกส), สวีเดน, ตุรกี, จีน (ตัวเต็ม) และเวียดนาม 12

ฟีเจอร์ AI ใหม่ที่น่าสนใจ

WWDC 2025 มาพร้อมกับฟีเจอร์ AI ใหม่ๆ ที่น่าสนใจหลายอย่าง:

  • Live Translation: ความสามารถในการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ที่ถูกนำไปใช้ในหลายส่วน ทั้งในแอป Messages ที่สามารถแปลข้อความขณะพิมพ์, ใน FaceTime ที่แสดงคำบรรยายสดที่แปลแล้ว และในการโทรศัพท์ผ่านแอป Phone ที่สามารถแปลเสียงพูดสนทนาได้ทันที 5
  • Genmoji: สร้างสรรค์อิโมจิในแบบของคุณเองได้ง่ายขึ้น โดยสามารถผสมอิโมจิที่มีอยู่เข้ากับคำอธิบาย หรือใช้เพียงคำอธิบายเพื่อสร้าง Genmoji ใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร สามารถนำไปใช้ในข้อความ หรือแชร์เป็นสติกเกอร์และ Tapback ได้ 12
  • Image Playground: เครื่องมือสร้างภาพที่สนุกสนาน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างภาพจากคอนเซ็ปต์ต่างๆ เช่น ธีม, ชุดแต่งกาย, อุปกรณ์เสริม และสถานที่ นอกจากนี้ยังสามารถใช้สไตล์ใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนโดย ChatGPT เช่น สไตล์ภาพวาดสีน้ำมัน หรือเวกเตอร์อาร์ตได้อีกด้วย 12
  • Visual Intelligence: ปรับปรุงความสามารถในการทำความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอ ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสิ่งของที่คล้ายกันผ่านแอปที่รองรับอย่าง Google หรือ Etsy และยังช่วยให้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุและสถานที่รอบตัวได้ทันที 12
  • Clean Up in Photos: ฟีเจอร์ใหม่ในแอป Photos ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลบองค์ประกอบหรือวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากรูปภาพได้อย่างง่ายดาย 12
  • Image Wand: ในแอป Notes ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนภาพสเก็ตช์คร่าวๆ ให้กลายเป็นภาพที่สวยงามสมบูรณ์ได้ด้วยเครื่องมือนี้ 12
  • การทำงานร่วมกับแอปต่างๆ: Apple Intelligence จะทำงานร่วมกับแอปต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาดขึ้น เช่น การระบุการกระทำที่เกี่ยวข้องในอีเมล, เว็บไซต์ หรือโน้ต แล้วนำไปจัดหมวดหมู่ใน Reminders โดยอัตโนมัติ หรือใน Apple Wallet ที่สามารถสรุปรายละเอียดการติดตามคำสั่งซื้อจากอีเมลของผู้ขายหรือผู้ให้บริการจัดส่งได้ 12

การเข้าถึงโมเดลบนอุปกรณ์สำหรับนักพัฒนา

อีกก้าวสำคัญคือการที่ Apple เปิดให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึง Foundation Model ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ Apple Intelligence บนอุปกรณ์ได้โดยตรง 9 ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์อัจฉริยะที่เป็นส่วนตัวภายในแอปพลิเคชันของตนเองได้ โดยที่ข้อมูลยังคงอยู่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้ และสามารถทำงานได้แม้ในขณะออฟไลน์ 12

การเปิดให้นักพัฒนาเข้าถึงโมเดล AI บนอุปกรณ์นี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจกระตุ้นให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของแอปพลิเคชันอัจฉริยะที่เน้นความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับความสามารถด้าน AI ของระบบนิเวศ Apple โดยที่ Apple ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สร้างทุกฟีเจอร์ด้วยตัวเอง นี่อาจเป็นคำตอบของ Apple ต่อ “ช่องว่างด้าน AI” (AI gap) 4 ที่ถูกพูดถึง โดยอาศัยพลังของชุมชนนักพัฒนาที่แข็งแกร่ง

สถานการณ์ Siri: ยังคงเป็นงานที่ต้องพัฒนาต่อไป

แม้จะมีฟีเจอร์ AI ใหม่ๆ มากมาย แต่ Siri เวอร์ชันใหม่ที่ฉลาดขึ้นและตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหลายคนตั้งตารอคอย กลับยังไม่พร้อมให้บริการ Apple ยอมรับว่างานพัฒนา AI สำหรับ Siri นั้น “ต้องการเวลามากขึ้นเพื่อให้ได้มาตรฐานคุณภาพสูงของเรา” และคาดว่าจะยังไม่แล้วเสร็จจนกว่าจะถึงปีหน้าเป็นอย่างเร็วที่สุด 1

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า “ความเงียบเกี่ยวกับ Siri นั้นดังสนั่น” 1 และชี้ว่า Apple อาจกำลังหมดเวลาในการส่งมอบประสบการณ์ AI ที่ใช้งานง่ายและสามารถโต้ตอบได้อย่างแท้จริงผ่าน Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกในด้านผู้ช่วยเสียง การที่ Siri ยังคงตามหลังคู่แข่งในด้านความสามารถ อาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของผู้ใช้เกี่ยวกับนวัตกรรมของ Apple ในด้านนี้

การที่ Apple เลือกที่จะเน้นพัฒนาฟีเจอร์ AI ที่ใช้งานได้จริงและฝังตัวอยู่ในแอปพลิเคชันต่างๆ (เช่น Photos, Messages, Notes) ในขณะที่ชะลอการยกเครื่อง Siri ครั้งใหญ่ออกไป อาจเป็นกลยุทธ์ที่รอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงการให้สัญญาเกินจริงและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ต่ำกว่าความคาดหวังในตลาด AI ที่มีการแข่งขันสูง การตัดสินใจนี้ยังอาจสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Apple ในด้านความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์ ซึ่งอาจมีความซับซ้อนในการนำไปใช้กับผู้ช่วยเสียงเต็มรูปแบบเมื่อเทียบกับเครื่องมือ AI ที่มีขอบเขตการทำงานเฉพาะเจาะจงกว่า

iOS 26: ประสบการณ์ใหม่บน iPhone ที่สดใสและฉลาดขึ้น

iOS 26 คือการอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับผู้ใช้ iPhone โดยมาพร้อมกับดีไซน์ “Liquid Glass” ที่สดใหม่ และการปรับปรุงฟีเจอร์หลักๆ มากมาย

ดีไซน์ “Liquid Glass” และ UI หลักบน iPhone

การมาถึงของ Liquid Glass ทำให้หน้าตาโดยรวมของ iOS 26 ดูสดใหม่ โปร่งใส และมีชีวิตชีวามากขึ้น 3 ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงรูปลักษณ์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ iOS 7 3

Messages

แอป Messages ได้รับการอัปเดตหลายอย่างเพื่อยกระดับประสบการณ์การสื่อสาร:

  • สร้างโพลในแชท: ผู้ใช้สามารถสร้างโพลเพื่อสำรวจความคิดเห็นในกลุ่มแชทได้ง่ายขึ้น และ Apple Intelligence ยังสามารถช่วยแนะนำได้ว่าเมื่อใดที่การสร้างโพลอาจเป็นประโยชน์ 10
  • พื้นหลังแชทเฉพาะบุคคล: สามารถปรับแต่งพื้นหลังของแต่ละการสนทนาให้ไม่ซ้ำใครได้แล้ว 10
  • Apple Cash ในกลุ่มแชท: รองรับการใช้งาน Apple Cash ภายในกลุ่มแชท ทำให้การส่งและรับเงินสะดวกยิ่งขึ้น 10
  • Typing indicators สำหรับกรุ๊ปแชท: สามารถเห็นได้แล้วว่าใครกำลังพิมพ์ข้อความในกรุ๊ปแชท 3
  • Unified Messages inbox: กล่องข้อความที่รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว 3
  • คัดกรองข้อความจากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก: ข้อความจากผู้ส่งที่ไม่รู้จักจะถูกจัดเก็บไว้ในโฟลเดอร์แยกต่างหากเพื่อการตรวจสอบ 14

Photos

แอป Photos ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน:

  • ปรับปรุง Layout: มีการปรับเปลี่ยน Layout ใหม่ โดยเพิ่มแท็บ Library และ Collections เพื่อการจัดระเบียบที่ดีขึ้น 10
  • Clean Up: ฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนโดย Apple Intelligence ช่วยให้ลบวัตถุหรือสิ่งรบกวนออกจากภาพถ่ายได้อย่างแนบเนียน 12

Phone

แอป Phone ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสื่อสาร ก็ได้รับการปรับปรุงให้ฉลาดขึ้น:

  • ดีไซน์ใหม่: Layout แบบรวมศูนย์ที่แสดงรายการโปรด (Favorites), รายการล่าสุด (Recents), และข้อความเสียง (Voicemails) ไว้ในหน้าจอเดียว 14
  • Call Screening: ใช้การประมวลผลเสียงพูดแบบเรียลไทม์เพื่อแสดงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้ที่โทรเข้ามาและเหตุผลในการโทร ก่อนที่ผู้ใช้จะตัดสินใจรับสาย 14
  • Hold Assist: ในกรณีที่ต้องรอสายกับระบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้จะช่วยรอสายแทนผู้ใช้ และแจ้งเตือนเมื่อมีเจ้าหน้าที่พร้อมให้บริการ 14
  • Live Translate สำหรับการโทร: รองรับการแปลภาษาแบบสดๆ ระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ 8

CarPlay

สำหรับผู้ที่ใช้งาน iPhone ในรถยนต์ CarPlay ก็ได้รับการอัปเดตที่น่าสนใจ:

  • ปรับปรุง Interface การโทร: แสดงข้อมูลผู้โทรเข้าโดยไม่บดบังหน้าจอนำทาง 14
  • Messages ใน CarPlay: รองรับ Tapbacks และการปักหมุดการสนทนา 14
  • Widgets และ Live Activities ใหม่: ช่วยให้ผู้ใช้รับทราบข้อมูลสำคัญได้โดยไม่เสียสมาธิขณะขับรถ 14
  • CarPlay Ultra: การผสานรวมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่าง iPhone และระบบของรถยนต์ สร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องและดื่มด่ำยิ่งขึ้น 14

ฟีเจอร์เด่นอื่นๆ ใน iOS 26

นอกเหนือจากนี้ iOS 26 ยังมาพร้อมกับ:

  • แอป Preview ที่ติดตั้งมาพร้อมเครื่อง 16
  • แอป Games ใหม่ที่ติดตั้งมาพร้อมเครื่อง 5
  • ความสามารถในการ Mirror หน้าจอ iPhone ไปยัง Mac 14
  • แอป Passwords ใหม่สำหรับจัดการรหัสผ่าน 14

การอัปเดตใน iOS 26 มุ่งเน้นไปที่การยกระดับประสบการณ์การสื่อสาร (Messages, Phone) และประสบการณ์ด้านภาพ (Liquid Glass, Photos) อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบ่งชี้ว่า Apple มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของประโยชน์ใช้สอยและเสน่ห์ของ iPhone ในชีวิตประจำวัน การผสาน Apple Intelligence เข้ากับแอปหลักๆ อย่าง Phone (Call Screening), Messages (การแนะนำโพล) และ Photos (Clean Up) 12 แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ในการฝัง AI เข้าไปในระบบอย่างแนบเนียนเพื่อมอบประโยชน์ที่จับต้องได้ แทนที่จะนำเสนอ AI เป็นฟีเจอร์เดี่ยวๆ ที่โดดเด่น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการนำเสนอ AI แบบ “low-key” ของ Apple ในปีนี้ 1

iPhone รุ่นที่รองรับ iOS 26

คุณสมบัติ รุ่น iPhone ที่รองรับ
iOS 26 (ทั่วไป) iPhone 16 Series, iPhone 15 Series, iPhone 14 Series, iPhone 13 Series, iPhone 12 Series, iPhone 11 Series, iPhone SE (รุ่นที่ 2 และใหม่กว่า) 14
ฟีเจอร์ Apple Intelligence เต็มรูปแบบ iPhone 16 Series ทุกรุ่น, iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max 14

macOS Tahoe 26: ขุมพลังและความต่อเนื่องบน Mac

macOS เวอร์ชันใหม่ มาในชื่อ “Tahoe 26” พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะการนำดีไซน์ Liquid Glass มาสู่เดสก์ท็อป และการเสริมความแข็งแกร่งให้กับคุณสมบัติ Continuity

“Liquid Glass” บนเดสก์ท็อป

ดีไซน์ Liquid Glass ถูกนำมาปรับใช้กับ macOS Tahoe 26 ทำให้หน้าจอ Mac ดูโปร่งและกว้างขวางยิ่งขึ้น ด้วยแถบเมนู (menu bar) ที่โปร่งใส นอกจากนี้ยังมาพร้อมตัวเลือกในการปรับแต่งไอคอนและ Control Center ที่มากขึ้น 3ไอคอนแอปต่างๆ ได้รับการออกแบบใหม่ให้สอดรับกับดีไซน์นี้ รวมถึงรูปลักษณ์แบบสว่าง (light) และมืด (dark) ที่ได้รับการปรับปรุง 8

Continuity ที่ดีขึ้น: แอป Phone ใหม่ และ Live Activities

macOS Tahoe 26 ยกระดับการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ Apple ไปอีกขั้น:

  • แอป Phone ใหม่บน Mac: ผู้ใช้สามารถโทรออกและรับสายจาก iPhone ที่อยู่ใกล้เคียงได้โดยตรงบน Mac นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงประวัติการโทร (Recents), รายชื่อผู้ติดต่อ (Contacts), และข้อความเสียง (Voicemail) รวมถึงใช้งานฟีเจอร์เด่นจาก iPhone อย่าง Call Screening และ Hold Assist ได้ด้วย 3
  • Live Activities จาก iPhone แสดงบนแถบเมนู Mac: กิจกรรมสด (Live Activities) จาก iPhone จะปรากฏบนแถบเมนูของ Mac ทำให้ผู้ใช้ไม่พลาดการอัปเดตสำคัญ และเมื่อคลิกที่ Live Activity นั้นๆ แอปที่เกี่ยวข้องจะเปิดขึ้นในโหมด iPhone Mirroring เพื่อให้สามารถโต้ตอบได้ทันที 8

การปรับปรุงคุณสมบัติ Continuity เหล่านี้ ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง Mac และ iPhone เลือนรางลงอย่างมาก เป็นการวางตำแหน่งให้ Mac เป็นศูนย์กลางในการจัดการการโต้ตอบต่างๆ ทั่วทั้งระบบนิเวศของ Apple ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มความสะดวกสบาย แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการทำให้ผู้ใช้รู้สึกผูกพันกับระบบนิเวศของ Apple มากยิ่งขึ้น

Spotlight Search: ค้นหาได้ล้ำลึกกว่าเดิม

Spotlight Search ได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา 3 โดยสามารถแสดงผลการค้นหาจากเนื้อหาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์, โฟลเดอร์, อีเวนต์ในปฏิทิน, แอปพลิเคชัน หรือข้อความต่างๆ โดยจะมีการจัดอันดับตามความเกี่ยวข้อง และผู้ใช้ยังสามารถใช้ฟิลเตอร์เพื่อจำกัดผลการค้นหาให้แคบลงได้อีกด้วย 3

ที่สำคัญกว่านั้นคือ Spotlight ใหม่นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ “ดำเนินการ” (take actions) ต่างๆ ได้หลายร้อยอย่างโดยตรงจากหน้าต่าง Spotlight เอง โดยไม่จำเป็นต้องสลับไปเปิดแอปพลิเคชันอื่น เช่น การส่งอีเมล, สร้างโน้ต หรือเล่นพอดแคสต์ 3 การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเปลี่ยนวิธีการโต้ตอบกับ Mac ของผู้ใช้ไปอย่างสิ้นเชิง ลดการพึ่งพาการเปิดแอปทีละตัวสำหรับงานทั่วไป และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมาก คล้ายกับ command-palette ที่เป็นที่นิยมในเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา

Metal 4 และการเล่นเกม

สำหรับวงการเกม Apple ได้เปิดตัว Metal 4 สำหรับ macOS Tahoe 26 ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมบน Mac ที่ใช้ชิป Apple Silicon เช่น เทคโนโลยี frame interpolation ที่ช่วยให้ภาพในเกมลื่นไหลยิ่งขึ้น 5

การปรับปรุงอื่นๆ ใน macOS Tahoe 26

  • Shortcuts ที่ฉลาดขึ้น: สามารถตั้งค่าให้ Shortcuts ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาที่กำหนด หรือเมื่อมีการกระทำบางอย่างเกิดขึ้น เช่น การบันทึกไฟล์ไปยังโฟลเดอร์ที่ระบุ หรือการเชื่อมต่อกับจอแสดงผล 8
  • Apple Intelligence: รองรับฟีเจอร์หลักๆ เช่น Live Translation, Genmoji และ Image Playground 8

Mac รุ่นที่รองรับ macOS Tahoe 26

ประเภท Mac รุ่นที่รองรับ
MacBook Air M1 (ปี 2020) และใหม่กว่า 8
MacBook Pro 16 นิ้ว (ปี 2019), 13 นิ้ว (ปี 2020, Four Thunderbolt 3 ports), รุ่นที่ใช้ Apple silicon (ปี 2020) และใหม่กว่า 8
iMac ปี 2020 และใหม่กว่า 8
Mac mini ปี 2020 และใหม่กว่า 8
Mac Studio ปี 2022 และใหม่กว่า 8
Mac Pro ปี 2019 และใหม่กว่า 8
หมายเหตุ: MacBook Air รุ่นที่ใช้ชิป Intel (ปี 2020) ไม่รองรับ macOS Tahoe 26 17

iPadOS 26: เชื่อมต่อการทำงานให้ใกล้เคียง Mac ยิ่งขึ้น

iPadOS 26 ยังคงเดินหน้าตามแนวทางของ Apple ในการผลักดันให้ iPad เป็นอุปกรณ์สำหรับการทำงานที่ทรงพลังยิ่งขึ้น โดยหยิบยืมหลายองค์ประกอบมาจาก macOS เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการความสามารถระดับโปร

“Liquid Glass” และการปรับปรุง UI

เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มอื่นๆ iPadOS 26 ก็ได้รับอานิสงส์จากดีไซน์ Liquid Glass ทำให้ Interface โดยรวมดูทันสมัย สวยงาม และสอดคล้องกับอุปกรณ์อื่นๆ ในระบบนิเวศ 3

แอป Files ที่ทรงพลังขึ้น และการมาถึงของแอป Preview

  • Files App ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่: มาพร้อมกับวิธีใหม่ๆ ในการจัดระเบียบไฟล์และปรับแต่งโฟลเดอร์ รวมถึงการเพิ่ม Folders เข้าไปใน Dock เพื่อการเข้าถึงที่รวดเร็ว 3
  • แอป Preview มาสู่ iPadOS: แอป Preview ที่คุ้นเคยจาก Mac ได้ถูกนำมาให้ใช้งานบน iPadOS แล้ว ช่วยให้การดูและแก้ไขไฟล์ PDF รวมถึงรูปภาพต่างๆ ทำได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น 3

Multitasking และการจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น

หนึ่งในจุดที่ iPadOS ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดคือความสามารถด้าน Multitasking ใน iPadOS 26 Apple ได้ทำการปรับปรุงครั้งสำคัญ:

  • ระบบ Windowing ใหม่: ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง Layout ของแอปพลิเคชันได้หลากหลายมากขึ้น ทำให้ประสบการณ์การใช้งาน iPad มีความคล้ายคลึงกับ Mac มากยิ่งขึ้น 3
  • แถบเมนูด้านบน: สำหรับ iPad บางรุ่น เมื่อเชื่อมต่อกับ Magic Keyboard จะมีการแสดงแถบเมนูคล้ายกับที่มีใน macOS 10 เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงคำสั่งต่างๆ
  • Background Tasks: iPadOS 26 รองรับการทำงานของโปรเซสที่ใช้เวลานานในเบื้องหลังได้แล้ว เช่น การ export ไฟล์ขนาดใหญ่ โดยโปรเซสเหล่านี้จะแสดงสถานะเป็น Live Activities 7 นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ iPad สามารถรองรับเวิร์คโฟลว์ระดับมืออาชีพได้ดียิ่งขึ้น

แอป Journal บน iPad

แอป Journal ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้บน iPhone ได้เดินทางมาถึง iPad แล้วใน iPadOS 26 พร้อมการรองรับ Apple Pencil อย่างเต็มรูปแบบ 7

การปรับปรุงอื่นๆ

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจ เช่น Math Notes สำหรับการจดบันทึกทางคณิตศาสตร์, ความสามารถในการสร้างกราฟ 3 มิติขั้นสูง และปากกา Read Pen ใหม่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเขียนอักษรวิจิตร (calligraphy) 7

การเปลี่ยนแปลงใน iPadOS 26 สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของ Apple ในการวางตำแหน่ง iPad ให้เป็นอุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้อย่างจริงจังมากขึ้น การนำแอปอย่าง Preview มาใช้, การปรับปรุงระบบจัดการหน้าต่างให้คล้าย Mac และการเพิ่มแถบเมนู ล้วนเป็นการตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของผู้ใช้ที่ต้องการฟังก์ชันการทำงานที่ใกล้เคียงกับแล็ปท็อปมากขึ้น การให้ความสำคัญกับการจัดการไฟล์ (Files App ที่ทรงพลังขึ้น) 3 และการจัดการเอกสาร (แอป Preview) 3 ยังบ่งชี้ว่า Apple กำลังให้ความสนใจกับกลุ่มผู้ใช้มืออาชีพและนักสร้างสรรค์ที่ต้องพึ่งพาความสามารถเหล่านี้เป็นหลัก

iPad รุ่นที่รองรับ iPadOS 26

ประเภท iPad รุ่นที่รองรับ
iPad Pro M4, 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 3 และใหม่กว่า), 11 นิ้ว (รุ่นที่ 1 และใหม่กว่า) 18
iPad Air M3, M2, รุ่นที่ 3 และใหม่กว่า 18
iPad (รุ่นปกติ) A16, รุ่นที่ 8 และใหม่กว่า 18
iPad Mini A17 Pro, รุ่นที่ 5 และใหม่กว่า 18
หมายเหตุ: iPad รุ่นที่ 7 (รุ่นปกติ) ไม่รองรับ iPadOS 26 19

watchOS 26: เพื่อนคู่กายอัจฉริยะที่ฉลาดและรู้ใจกว่าเดิม

สำหรับ Apple Watch ระบบปฏิบัติการ watchOS 26 ก็ได้รับการปรับปรุงให้เป็นเพื่อนคู่กายที่ชาญฉลาดและรู้ใจผู้ใช้มากยิ่งขึ้น

“Liquid Glass” บนข้อมือ

ดีไซน์ Liquid Glass ได้ถูกนำมาปรับใช้กับ watchOS 26 ทำให้องค์ประกอบต่างๆ เช่น Smart Stack, Control Center และหน้าปัด Photos ดูมีมิติและความสดใสมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรูปแบบการนำทางที่ผู้ใช้คุ้นเคย 3

Workout Buddy และฟีเจอร์สุขภาพ

  • Workout Buddy: ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่นคือ Workout Buddy ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือนเพื่อนร่วมออกกำลังกาย คอยพูดคุยและให้กำลังใจผู้ใช้ขณะทำกิจกรรมต่างๆ 1
  • แอป Workout ดีไซน์ใหม่: แอป Workout ได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมเพิ่มคำแนะนำเกี่ยวกับสื่อต่างๆ ที่เหมาะสมกับการออกกำลังกาย 15

Live Translation และการส่งข้อความ

  • Live Translation: ความสามารถในการแปลภาษาแบบสดๆ มาถึงข้อมือแล้ว โดยรองรับบน Apple Watch Series 9, Series 10 และ Apple Watch Ultra 2 (เมื่อใช้งานร่วมกับ iPhone ที่รองรับ Apple Intelligence) 3
  • การปรับปรุงการส่งข้อความ: Smart Replies ได้รับการปรับปรุงให้ฉลาดขึ้น และมีคำแนะนำการกระทำตามบริบท (contextual action suggestions) เช่น การแนะนำให้ Check In หรือใช้ Apple Cash 15

ฟีเจอร์อำนวยความสะดวกอื่นๆ

  • Wrist flick gesture: ท่าทางการสะบัดข้อมือแบบใหม่ ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปิดการแจ้งเตือนหรือรับสายได้อย่างรวดเร็ว (ฟีเจอร์นี้รองรับเฉพาะ Apple Watch Series 9, Series 10 และ Apple Watch Ultra 2) 15
  • แอป Notes บน Apple Watch: แอป Notes ที่หลายคนรอคอย ได้มาอยู่บน Apple Watch แล้ว 15

การอัปเดตใน watchOS 26 ช่วยเสริมบทบาทของ Apple Watch ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวด้านสุขภาพและการสื่อสาร โดยทำให้การโต้ตอบเป็นไปในเชิงรุกมากขึ้น (Workout Buddy) และชาญฉลาดขึ้น (Live Translation, contextual actions) อย่างไรก็ตาม การที่ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น “wrist flick” gesture 20 หรือฟีเจอร์ AI ที่ต้องอาศัย iPhone รุ่นใหม่ 3 เป็นการส่งสัญญาณเบาๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้พิจารณาอัปเกรดฮาร์ดแวร์หากต้องการประสบการณ์ watchOS ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

Apple Watch รุ่นที่รองรับ watchOS 26

คุณสมบัติ รุ่นที่รองรับ/ข้อกำหนด
Apple Watch ที่รองรับ watchOS 26 Apple Watch Series 6 และใหม่กว่า, Apple Watch SE (รุ่นที่ 2), Apple Watch Ultra (ทุกรุ่น) 20
ข้อกำหนด iPhone ต้องใช้กับ iPhone 11 หรือใหม่กว่า หรือ iPhone SE (รุ่นที่ 2 หรือใหม่กว่า) ที่ใช้ iOS 26 20
ข้อจำกัดฟีเจอร์ Apple Intelligence ฟีเจอร์ Apple Intelligence (เช่น Live Translation) ต้องใช้กับ iPhone ที่รองรับ (iPhone 15 Pro/Pro Max, iPhone 16 series) 20
ข้อจำกัดฟีเจอร์ Wrist flick ท่าทาง “wrist flick” ต้องใช้กับ Apple Watch Series 9, Series 10 หรือ Apple Watch Ultra 2 20

visionOS 26: ปรับแต่งประสบการณ์ Spatial ให้เหนือชั้น

สำหรับ Apple Vision Pro ระบบปฏิบัติการ visionOS 26 ก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อยกระดับประสบการณ์ Spatial Computing ให้ดียิ่งขึ้น:

  • Eye-Scrolling: ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลื่อนดูเนื้อหาต่างๆ ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ใช้การมอง 5
  • การรองรับคอนโทรลเลอร์ PS VR2: เพิ่มการรองรับคอนโทรลเลอร์ PlayStation VR2 Sense ทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกในการควบคุมที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับประสบการณ์การเล่นเกมแบบ Spatial 5
  • Spatial Widgets และ Scenes: วิดเจ็ตต่างๆ จะกลายเป็นแบบ Spatial อย่างเต็มรูปแบบ สามารถปรับแต่งตำแหน่งและยึดอยู่กับสภาพแวดล้อมของผู้ใช้ได้ 15
  • Enhanced Personas: Personas หรืออวตารของผู้ใช้ จะมีการเรนเดอร์แบบ Volumetric ที่สมจริงยิ่งขึ้น พร้อมรายละเอียดของเส้นผม, ขนตา, ผิวหนัง และโปรไฟล์ด้านข้างที่ดีขึ้นกว่าเดิม 15
  • การแชร์ประสบการณ์: ผู้ใช้สามารถแชร์ประสบการณ์ Spatial ที่กำลังสัมผัสอยู่ได้ทั้งกับคนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันและคนที่อยู่ระยะไกลผ่าน FaceTime รวมถึงสามารถทำงานร่วมกันบนเนื้อหา 3D ได้ 15

การอัปเดตใน visionOS 26 มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการโต้ตอบของผู้ใช้ (Eye-Scrolling) และการขยายขีดความสามารถด้านความบันเทิง (การรองรับคอนโทรลเลอร์ PS VR2) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า Apple ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประสบการณ์ Vision Pro ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และขยายกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในตลาดเกม

tvOS 26: ยกระดับประสบการณ์การรับชม

สำหรับ Apple TV ระบบปฏิบัติการ tvOS 26 ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน:

  • ดีไซน์ “Liquid Glass”: tvOS 26 ได้รับการปรับโฉมด้วยดีไซน์ Liquid Glass ทำให้ Interface ดูสวยงามและทันสมัย สอดคล้องกับแพลตฟอร์มอื่นๆ 3
  • การแปลภาษาใน FaceTime: รองรับการแปลภาษาในแอป FaceTime บน Apple TV 5
  • แอป Apple TV ที่ออกแบบใหม่: แอป Apple TV ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีหน้าตาที่สวยงามยิ่งขึ้นด้วยโปสเตอร์ภาพยนตร์ขนาดใหญ่, การสลับโปรไฟล์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น และ API ใหม่สำหรับนักพัฒนาเพื่อการล็อกอินบัญชี Apple ที่ราบรื่น 15

แม้การอัปเดตใน tvOS 26 ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความสวยงาม (Liquid Glass) และการปรับปรุงเล็กน้อย (การแปลภาษาใน FaceTime) แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาความสอดคล้องของประสบการณ์ผู้ใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple และทำให้การค้นหาเนื้อหาน่าสนใจทำได้ง่ายขึ้น

แอป “Games” ใหม่: ศูนย์รวมเกมในที่เดียว

อีกหนึ่งการประกาศที่น่าสนใจคือการเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ที่ชื่อว่า “Games” 4 แอปนี้จะเป็นศูนย์กลางสำหรับเกมทั้งหมดของผู้ใช้ โดยจะถูกติดตั้งมาพร้อมกับ Mac, iPhone, iPad และ Apple TV

การเปิดตัวแอป “Games” โดยเฉพาะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า Apple ให้ความสำคัญกับตลาดเกมมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้การค้นหาและจัดการเกมของผู้ใช้เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น นี่อาจเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับแพลตฟอร์มเกมอื่นๆ ทั้งคอนโซลและ PC ได้ดียิ่งขึ้น และอาจเป็นการปูทางไปสู่การผสานรวมกับบริการ Apple Arcade ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในอนาคต

สำหรับนักพัฒนา: เครื่องมือและเฟรมเวิร์กใหม่

WWDC คือเวทีสำคัญสำหรับนักพัฒนา และปีนี้ Apple ก็ได้มอบเครื่องมือและเฟรมเวิร์กใหม่ๆ มากมายเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างสรรค์แอปพลิเคชันที่ดียิ่งขึ้น:

  • Xcode 26:
    • Predictive code completion ที่แม่นยำขึ้น: สามารถคาดเดาโค้ดได้แม่นยำกว่าเดิมโดยอาศัยบริบทที่กว้างขึ้นจากโค้ดที่มีอยู่ 7
    • Swift Assist: ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถโต้ตอบกับโค้ดโดยใช้ภาษาธรรมชาติได้โดยตรงภายใน Xcode 7
    • การรวม LLM (Large Language Models): Xcode 26 รองรับการทำงานร่วมกับ LLM อย่าง ChatGPT ในตัว ช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโค้ด, ทดสอบ, แก้บั๊ก และจัดทำเอกสาร 9
    • การปรับปรุงอื่นๆ: ประสบการณ์การนำทาง (Navigation) ที่ออกแบบใหม่, การปรับปรุง Localization Catalog และการรองรับ Voice Control ที่ดีขึ้นสำหรับการเขียนโค้ด Swift 9
  • Foundation Models Framework:
    • นักพัฒนาสามารถเข้าถึงโมเดล Apple Intelligence บนอุปกรณ์ผ่านเฟรมเวิร์กนี้ เพื่อนำไปสร้างประสบการณ์อัจฉริยะภายในแอปพลิเคชันของตนเอง 9
    • เฟรมเวิร์กนี้รองรับภาษา Swift โดยกำเนิด ทำให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงโมเดลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว 13
  • Icon Composer:
    • เครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างไอคอนแอปแบบเลเยอร์ที่ดูสวยงามและสอดรับกับการแสดงผลในโหมดต่างๆ (light, dark, tinted, clear) ได้อย่างง่ายดาย 7
  • Metal 4:
    • เทคโนโลยีการเรนเดอร์ใหม่ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างกราฟิกขั้นสูงและได้เฟรมเรตที่เร็วขึ้นในเกมและแอปพลิเคชันต่างๆ 5
  • App Intents:
    • ได้รับการอัปเดตให้รองรับ Visual Intelligence ช่วยให้แอปพลิเคชันสามารถผสานรวมเข้ากับ Siri, Control Center, Widgets และ Spotlight ได้ลึกซึ้งและชาญฉลาดยิ่งขึ้น 13
  • Sensitive Content Analysis Framework และ Declared Age Range API:
    • เครื่องมือใหม่สำหรับนักพัฒนาในการจัดการเนื้อหาที่อาจมีความละเอียดอ่อน และปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับช่วงวัยของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 13

การลงทุนอย่างหนักในเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ AI ขั้นสูง (การรวม LLM ใน Xcode, Foundation Models Framework) หรือทรัพยากรด้านการออกแบบ (Icon Composer, API สำหรับ Liquid Glass) แสดงให้เห็นว่า Apple ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนชุมชนนักพัฒนาอย่างยิ่งยวด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์แอปพลิเคชันที่ชาญฉลาด สวยงาม และผสานรวมเข้ากับระบบนิเวศได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ API ใหม่สำหรับเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัย 13 ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Apple ในด้านความปลอดภัยและการควบคุมโดยผู้ปกครอง ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสำคัญมากขึ้น

AirPods: เพิ่มลูกเล่นใหม่ให้หูฟังคู่ใจ

AirPods หูฟังไร้สายยอดนิยม ก็ได้รับการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ ที่น่าสนใจ:

  • รีโมทควบคุมกล้อง: ผู้ใช้สามารถใช้ AirPods เป็นรีโมทชัตเตอร์สำหรับกล้อง iPhone หรือใช้ควบคุมการบันทึกวิดีโอได้แล้ว 4
  • อัปเกรดการบันทึกเสียง: ปรับปรุงคุณภาพการบันทึกเสียงให้ดียิ่งขึ้น 5

การเพิ่มฟังก์ชันเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Apple ยังคงมองหาแนวทางในการเพิ่มประโยชน์ใช้สอยให้กับ AirPods นอกเหนือไปจากการฟังเพลง โดยผสานรวมเข้ากับระบบนิเวศในฐานะอุปกรณ์เสริมอเนกประสงค์มากขึ้น

กำหนดการปล่อยอัปเดต: เตรียมตัวให้พร้อม

สำหรับผู้ที่สนใจทดลองใช้งานซอฟต์แวร์ใหม่เหล่านี้ Apple ได้ประกาศกำหนดการดังนี้:

  • Developer Beta: เปิดให้นักพัฒนาที่ลงทะเบียนสามารถดาวน์โหลดไปทดสอบได้แล้วตั้งแต่วันที่ประกาศในงาน WWDC 5
  • Public Beta: จะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปที่สนใจสามารถเข้าร่วมทดลองใช้งานได้ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ 5
  • เวอร์ชันเต็ม: คาดว่าจะปล่อยให้อัปเดตพร้อมกันทุก OS ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ (ประมาณเดือนกันยายน) 5

การกำหนดตารางเวลาการปล่อย Beta และเวอร์ชันเต็มที่สอดคล้องกันทั่วทั้งระบบปฏิบัติการ เป็นการตอกย้ำกลยุทธ์แพลตฟอร์มที่เป็นหนึ่งเดียวของ Apple

บทสรุป: มอง WWDC 2025 ในภาพรวม

โดยสรุปแล้ว WWDC 2025 คือการประกาศครั้งสำคัญที่มุ่งเน้นไปที่การปรับโฉมดีไซน์ด้วย “Liquid Glass”, การเปลี่ยนผ่านสู่ OS เวอร์ชัน 26, การพัฒนา Apple Intelligence อย่างต่อเนื่อง และการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศโดยรวมของ Apple

งานในปีนี้อาจไม่ได้สร้างความฮือฮาด้วยนวัตกรรมที่พลิกโฉมวงการ แต่เป็นการ “ปรับเทียบอย่างระมัดระวัง ปรับปรุงแพลตฟอร์ม และเสริมศักยภาพนักพัฒนา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับก้าวต่อไปในอนาคต” 1 Apple ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงของการรวบรวมและปรับแต่งสิ่งที่มีอยู่ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สร้างความเชื่อมโยงและความชาญฉลาดให้กับระบบนิเวศของตนเอง แทนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ที่ยิ่งใหญ่ในทันที นี่อาจเป็นการหยุดพักเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีปัจจุบันให้สมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะก้าวกระโดดครั้งสำคัญในอนาคต

แม้ว่าการพัฒนา Siri จะยังคงเป็นสิ่งที่ต้องรอคอย และปฏิกิริยาของนักลงทุนอาจไม่คึกคักเท่าที่ควร 1 ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับความเป็นผู้นำด้าน AI ที่ยังคงมีอยู่ 1 แต่ทิศทางของ Apple ในการสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นและชาญฉลาดทั่วทั้งอุปกรณ์ยังคงชัดเจน การอัปเดตเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศ แต่ Apple ก็ยังคงเผชิญกับแรงกดดันในการแสดงนวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่านี้ โดยเฉพาะในด้าน AI เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและรักษาความเป็นผู้นำในตลาดต่อไป งาน WWDC ในอนาคตจะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญในเรื่องนี้

latest video

Mail Icon

news via inbox

Nulla turp dis cursus. Integer liberos  euismod pretium faucibua